วัดศรีบุญเรืองตั้งอยู่บ้านเลขที ๒๑๐ หมู่ ๑ ตำบลชานุมาน อำเภอชานุมาน จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบัน จังหวัดอำนาจเจริญ)
มีเนื้อที่ทั้งหมด ๓ไร่ ๒ งาน ๓๒ ตารางวา เดิมตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เป็นวัดเก่าแกโบราณ นายราชวัง เมืองซึ่งเป็นหัวหน้าชาวบ้านได้ย้ายจากที่เดิมไปสร้างที่ใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ ซึ่งห่างจากวัดเดิมประมาณ ๒๐ เส้น ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ การศึกษามีโรงเรียนปริยัติธรรมแผนกธรรม เปิดสอนเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๘ ได้ปลุกกุฎีและศาลาการเปรียญ ได้มีพระภิกษุสาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก จนกระทั่ง พ.ศ.๒๓๙๗ พระภิกษุสาก็มรณภาพแล้วมีพระภิกษุโท เป็นเจ้าอาวาสแทนจนถึง พ.ศ. ๒๔๑๗ ท่านได้มรณภาพ มีพระภิกษุนวนเป็นเจ้าอาวาสแทน พ.ศ.๒๔๒๗ ได้ลาสิกขา มีพระภิกษุบุตดีเป็นเจ้าอาวาสแทน พ.ศ.๒๔๒๙ ได้ลาสิกขา มีพระภิกษุพรมเป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ.๒๔๓๗ได้มรณภาพ มีพระภิกษุจันทร์เป็นเจ้าอาวาสแทน พ.ศ.๒๔๔๙ ท่านได้มรณภาพ มีพระภิกษุเภา เป็นเจ้าอาวาสแทน พ.ศ.๒๔๕๗ ได้ลาสิกขา มีพระภิกษุอ่อนเป็นเจ้าอาวาสแทน พ.ศ.๒๔๖๐ ได้ลาสิกขา ได้มีพระภิกษุบุญสอนเป็นเจ้าอาวาสแทนแล้วลาสิกขา และมีพระภิกษุบุญจันทร์เป็นเจ้าอาวาสแทนจนถึง พ.ศ.๒๔๗๗ ญาติโยมทายกทายิกาชาวบ้านชานุมานได้นิมนต์พระครูชานุมานพิทักษ์ เจ้าคณะตำบลเขมราฐมาเป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะอำเภอชานุมาน พ.ศ.๒๔๘๒ ท่านได้สร้างหอระฆัง ๑ หลัง พ.ศ.๒๔๘๙ ได้สร้างกุฎี ๑ หลัง ส้วมซึม ๑ หลังและเรือแข่ง พ.ศ.๒๔๙๓ ได้จัดสร้างรั้วไม้รอบวัด พ.ศ.๒๔๔๕ ท่านได้มรณภาพแล้วมีพระครูเมธีชานุเขต (ลี เมธีโก) เป็นเจ้า
อาวาสแทน พ.ศ.๒๔๙๙ ท่านมรณภาพลง พ.ศ.๒๕๐๐ พระครูเมชานุเขต (สงวน สุภาจาโร) เป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะอำเภอชานุมานต่อมา พ.ศ.๒๕๐๑ ท่านพร้อมภิกษุสามเณรทายกทายิกาบ้านชานุมานรื้อหลังคากุฏใหญ่ซ่อมแช่มและดัดแปลงบางอย่างให้อยู่ในสภาพอันถาวร พ.ศ.๒๕๐๔ได้จัดการรื้อศาลาโรงธรรมดัดแปลงใหม่ได้เปลี่ยนเปลี่ยนเครื่องไม้บนล่างและต่อเติมระเบียงออกให้กว้างขวางเปลี่ยนเครื่องมุงเดิมมุงด้วยไม้กระดานและมุงใหม่ด้วยสังกะสีกระดานพื้นใช้ไม้ประดู่ ท่านได้ปรับปรุงใหม่และท่านได้ชักชวนภิกษุสามเณรญาติโยมรื้อบ่อน้ำของวัดซึ่งชำรุดให้เป็นบ่อคอนกรีตและบูรณะกิจการวัดต่อไปอีกหลายอย่าง และวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ ท่านได้ มรณภาพ และญาติโยมชาวบ้านชานุมานได้นิมนต์ พระมหาทินกร อิสสโร เปรียญธรรม ๙ ประโยคมาเป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะอำเภอจนถึงปัจจุบัน และ พ.ศ.๒๕๖๐ ท่านได้นำพาญาติโยมชานุมานสร้างหอระฆังหลังใหม่ และสร้างกุฎีหลังใหม่ขึ้นอีก ๑ หลัง พ.ศ.๒๕๖๑ ได้สร้างกำแพงรอบวัดใหม่และได้ทำการบูรณะพระอุโบสถใหม่สร้างกำแพงแก้วล้อมอุโบสถ พ.ศ.๒๕๖๓ ได้ซักชวนญาติโยมทำการบูรณะศาลาการเปรียญหลังเก่าด้วยการยกพื้นขึ้นสูงกว่าเก่ามุงหลังคาใหม่ทำเป็นมุขสี่ทิศ